ทำ Shortcuts "View network connections"

Tuesday, July 17, 2012
ทำ Shortcuts "View network connections"

ทิปนี้สำหรับมือใหม่ Windows 7 ครับ...
สำหรับ ท่านที่เพิ่งเปลี่ยนจาก Windows XP มาใช้ Windows 7 หลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า หน้าต่าง "Network connections" ที่รวมการเข้าถึงการ์ดแลนในเครื่องของเรานั้น..มันอยู่ที่ไหน.?




วันนี้ผมจะแสดงวิธีสร้าง Shortcut ของ "View network connections" ครับ

เริ่มจาก กดปุ่ม Start แล้ว พิมพ์คำว่า "View network connections"

วินโดว์จะโชวรายการลิงค์ที่เกี่ยวข้องขึ้นมา... เราจะพบลิงค์ของ "View network connections" ครับ
ซึ่ง เราสามารถคลิกเพื่อเปิดหน้าต่าง  "View network connections" เลยก็ได้... หรือจะลากแล้วเอามาปล่อยบน Desktop เพื่อสร้าง Shortcuts ไว้เลยก็ได้(เพราะต่อไปเราจะได้"กด"ใช้บ่อยแน่นอนครับ)


ทำไอคอน Shortcuts ไว้บน Desktop เพื่อความสะดวก

ลองทำดูนะครับ...

แก้งง..เรื่อง Subnet Netmask กะ NetBits (255.255.255.0 กะ 24)

แก้งง..เรื่อง Subnet Netmask กะ NetBits (255.255.255.0 กะ 24)


(เพื่อว่ามือใหม่ ยังไม่รู้)
ผมขอแนะนำหลักการ ที่มาที่ไปอย่างที่จะเข้าใจได้ง่ายๆครับ

คุณคงเคยเป็น เลขชุด IP Address กับ Subnet Netmask ไหม.??

เช่น
192.168.1.1
255.255.255.0 / 24

หรือ
172.20.10.1
255.255.252.0 / 22

คุณเคยสงสัยไหมครับว่า ไอเลข 24 กะ 22 นี่มันได้มาอย่างไง.??


เจ้าเลข "2หลัก" สั้นๆนี้ เราเรียกว่า "Netmask Bits" บางทีเรียกสั้นๆว่า "NetBits"... มันเป็นการเขียน"ย่อรูป"ของ Subnet Mask ยาวๆ


ตัวเลข Subnet mask สามารถเรียนได้หลายรูปครับ...
ยกตัวอย่าง 255.255.255.0
- รูปแท้ จะเขียนเป็นเลขฐานสอง = 11111111.11111111.11111111.00000000 (ซึ่งมันโคตะระยาว และตาลาย)

- เราจึงเขียนลดรูป"เลขฐานสอง"ในแต่ล่ะหลัก มาเป็นเลข ฐานสิบ (เช่น 11111111 จะเท่ากับ เลข 255 ในระบบฐานสิบ) เราจึงได้เลขสั้นลงเป็น = 255.255.255.0


ส่วน NetBits สองหลักนั้น ใช้วิธีลดรูป หรือพูดง่ายๆก็คือ การนับจำนวน"ตัว"ของเลข "1" ... เราก็นับไปซิว่าในNetmask(ฐานสอง)มันมีเลข"1"อยู่กี่ตัว
เช่น..
255.255.255.0  = 11111111.11111111.11111111.00000000 นับเลข "1" ได้ทั้งหมด 24 ตัว

หรือ
255.255.252.0 = 11111111.11111111.11111100.00000000 นับเลข "1" ได้ทั้งหมด 22 ตัว

หรือ
255.255.0.0 = 11111111.11111111.00000000.00000000 นับเลข "1" ได้ทั้งหมด 16 ตัว

นี่ล่ะครับ คือที่มา ของเลข 24 กะ 22 ที่เราสงสัยไง...


ตาราง Netmask
255.255.255.255 = 11111111.11111111.11111111.11111111  / 32
255.255.255.254 = 11111111.11111111.11111111.11111110  / 31
255.255.255.252 = 11111111.11111111.11111111.11111100  / 30
255.255.255.248 = 11111111.11111111.11111111.11111000  / 29
255.255.255.240 = 11111111.11111111.11111111.11110000  / 28
255.255.255.224 = 11111111.11111111.11111111.11100000  / 27 
255.255.255.192 = 11111111.11111111.11111111.11000000  / 26
255.255.255.128 = 11111111.11111111.11111111.10000000  / 25 
255.255.255.0 = 11111111.11111111.11111111.00000000  / 24
255.255.254.0 = 11111111.11111111.11111110.00000000  / 23 
255.255.252.0 = 11111111.11111111.11111100.00000000  / 22 
255.255.248.0 = 11111111.11111111.11111000.00000000  / 21 
255.255.240.0 = 11111111.11111111.11110000.00000000  / 20
255.255.224.0 = 11111111.11111111.11100000.00000000  / 19 
255.255.192.0 = 11111111.11111111.11000000.00000000  / 18
255.255.128.0 = 11111111.11111111.10000000.00000000  / 17
255.255.0.0 = 11111111.11111111.00000000.00000000  / 16
255.254.0.0 = 11111111.11111110.00000000.00000000  / 15
255.252.0.0 = 11111111.11111100.00000000.00000000  / 14
255.248.0.0 = 11111111.11111000.00000000.00000000  / 13
255.240.0.0 = 11111111.11110000.00000000.00000000  / 12
255.224.0.0 = 11111111.11100000.00000000.00000000  / 11
255.192.0.0 = 11111111.11000000.00000000.00000000  / 10
255.128.0.0 = 11111111.10000000.00000000.00000000  / 9
255.0.0.0 = 11111111.00000000.00000000.00000000  / 8
254.0.0.0 = 11111110.00000000.00000000.00000000  / 7
252.0.0.0 = 11111100.00000000.00000000.00000000  / 6
248.0.0.0 = 11111000.00000000.00000000.00000000  / 5
240.0.0.0 = 11110000.00000000.00000000.00000000  / 4
224.0.0.0 = 11100000.00000000.00000000.00000000  / 3
192.0.0.0 = 11000000.00000000.00000000.00000000  / 2
128.0.0.0 = 10000000.00000000.00000000.00000000  / 1
0.0.0.0 = 00000000.00000000.00000000.00000000  / 0

ติดตั้ง Microsoft Loopback Adapter

ติดตั้ง Microsoft Loopback Adapter

Loopback ในที่นี้ผมขอกล่าวถึงมัน ในความหมายที่เกี่ยวกับ Ethernet นะครับ... ซึ่งในเชิงHardwareมันเป็นเทคนิคนึงของการเดินสายแลน คือ เจตนาเดินสายแลนให่วิ่งกลับมาหาตัวเอง(ส่งเอง-รับเอง) เราเลยเรียกมันว่า Loopback...

ประโยชน์ของ Loopback นั้นมีหลายอย่าง เช่น ต้องการจำลองสภาพแวดล้อมของ Network ในสถานะ Stand-alone (เครื่องเราเครื่องเดียว) ซึ่งมักใช้เทคนิคนี้กันบ่อยกับการสร้าง VM (Virtual Machine) ทั้งหลาย... นอกจากนี้ยังอาจนำไปประยุกต์ใช้งานอีกหลายแบบ (บางกรณีเราก็ใช้เทคนิค Loopback เพื่อหาปลายสายแลน สองฝั่งที่มองไม่เห็นปลายอีกข้างนึง)

Microsoft Loopback Adapter เป็นไดร์เวอร์ภาค Software สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ที่จะจำลอง"การ์ดแลนเสมือน"พร้อมทำLoopbackในตัวเสร็จสรรพแล้ว ทำให้เราไม่ต้องหาการ์ดแลนใบจริงๆมาเสียบในเครื่องหลายๆใบ... เรามักใช้งานมันคูกับ VMware, VirtualBOX หรือโปรแกรมVMอื่นๆเสมอ

วิธีติดตั้ง Microsoft Loopback Adapter (ในที่นี้แสดงขั้นตอนด้วย Windows 7)

1.เปิดหน้าต่าง Device Manager ขึ้นมา... กดปุ่ม Start แล้วพิมพ์ "Device Manager"

วินโดว์จะแสดงไอคอน Device Manager ให้เราคลิกเพื่อเปิดหน้าต่าง...
(หรือจะลากเอามาปล่อย ทำเป็น Shortcuts ไว้ Desktop เพื่อความสะดวกในการคลิกคราวหน้าก็ได้)


2.ในหน้าต่าง ให้"คลิกขวา"ที่ชื่อเครื่อง(รายการบรรทัดบนสุด)-->แล้วเลือก "Add Legacy Hardware"

ในกรอบสีแดง ผมแสดงรายการ Network Adapter (การ์ดแลน) ในขณะนี้ให้ดู(ยังไม่มีLoopadapterปรากฎอยู่นะ)


3.หน้านี้ให้กด Next ผ่านไปครับ



4.ให้ติ๊ก "วงกลม" ตามภาพ เพราะเราต้องการเป็นผู้เลือกติดตั้ง Hardware เอง

แล้วกด Next ผ่านไปครับ


5.หน้าต่างนี้ให้เราเลือกหมวดหมูของ Hardware ที่ต้องการติดตั้ง

ให้เราเลือก Network Adapter แล้วกด Next ผ่านไปครับ


6.หน้าต่างนี้ให้เราเลือกตัว Hardware ที่เราต้องการติดตั้ง(ให้เลือกตามภาพครับ)

ที่ Manufacturer ให้เลือก Microsoft, ที่ Network Adapter ให้เลือก Microsoft Loopback Adapter
แล้วกด Next ผ่านไปครับ


7.วินโดว์บอกว่า กำลังจะติดตั้ง Microsoft Loopback Adapter อ่ะนะ...
(ไม่รู้ว่าไมโครซอร์ฟจะทำให้หน้าต่างเยอะแยะเกินเหตุไปทำไม >_<)

กดปุ่ม Next ผ่านไปครับ


8.จากนั้นวินโดว์จะทำการติดตั้งไดร์เวอร์ตัวใหม่ แล้วจะโชว์หน้าต่างว่า ติดตั้งเสร็จแล้ว

เป็นอันว่าติดตั้งเสร็จแล้ว กด Finish ครับ...


จากนั้นลองเปิดหน้าต่าง Device Manager อีกครั้ง คุณจะเห็นว่ามี Microsoft Loopback Adapter ปรากฏขึ้นแล้ว



แล้วลองเปิดหน้าต่าง View Network Connection

จะเห็นว่ามีการ์ดแลน เพิ่มขึ้นมาอีก1ใบครับ (จำไว้ว่า..มันเป็นการ์ดแลนเสมือนนะครับ มันไม่มีHardwareจริงๆ...)

Private networks ของ IPv4 (สาเหตุว่า..ทำไมมันต้อง 192.168.x.x)

Private networks ของ IPv4 (สาเหตุว่า..ทำไมมันต้อง 192.168.x.x)


หมายเหตุ. บทความนี้จะปูพื้นฐานความรู้ สำหรับ "pfSense 2.0 Tutorial" หัวข้อ "เซต Network LAN ด้วย IP Class A/B"...


คุณเคยส่งสัยไหมว่าทำไม ระบบเลข IP ของเราเตอร์ทั่วๆไป.. ทำไม มันมักต้องเป็น 192.168.1.1 ด้วยล่ะ..?

สาเหตุคือ มันเป็นไปตามมาตฐาน Private networks ของ IPv4 ครับ


Private networks คืออะไร
ใน ที่นี้ มันเครื่องช่วงของเลข IP Address ที่สงวนไว้ สำหรับให้ใช้งานเป็นการส่วนตัว หรือสำหรับเน็ตเวิร์คภายในองค์กรนั้นเอง... เลข IP ที่เป็น Private networks จะไม่ซ่ำกับเลข IP ของ Public networks(เลขIPจริงๆที่ใช้บนอินเตอร์เน็ต)

โดยมาตรฐานของ IPv4 นั้น(พูดตาม Classful ก่อนนะ) จะแบ่งออกเป็น 3 Class ด้วยกัน ก็คือ A, B และ C (จริงๆมี D กับ E ด้วยนะครับ แต่มันไม่ได้นำมาใช้เป็นเลขหมายประจำเครื่องครับ)

ข้อ แตกต่างสำคัญของ IP แต่ล่ะคราสคือ จำนวนลูกข่าย และจำนวณ Subnet ที่รองรับได้ (Subnet ก็คือการแบ่งช่วงเลขเป็นวงแลนย่อยๆ เช่น การใช้งานภายในบริษัท เราสามารถจัดเป็น subnetนี้สำหรับแผนกA และsubnetนี้สำหรับแผนกB แบ่งกันเป็นสัดเป็นส่วนได้ Subnetแต่ล่ะวงก็สามารถสวงนทรัพยากรไว้สำหรับวงตัวเองได้ เช่น เครื่องprinter, NAS เป็นต้น หรืออธิบายง่ายๆว่า โดยปกติแล้ว..เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ต่างSubnetกัน จะไม่สามารถเข้าไปใช้เครื่องPrinterของSubnetอื่นได้ เป็นอันว่าเราสงวนเครื่องพิมพ์ตัวนี้ไว้เฉพาะวงแลนของแผนกเรา... ถ้าไม่งั่นคนเป็นAdmin จะต้องดูแลทรัพยากรต่างๆบนเน็ตเวิร์ค กันโลกแตกเลย)

โดย(ที่ควรจำ)...
- IP Class - C : จะมีจะมีลูกข่ายในแต่ล่ะวงSubnet ได้ไม่เกิน 256 เครื่อง
- IP Class - B : จะมีจะมีลูกข่ายในแต่ล่ะวงSubnet ได้ไม่เกิน 65,536 เครื่อง
- IP Class - A : จะมีจะมีลูกข่ายในแต่ล่ะวงSubnet ได้ไม่เกิน 16,777,216 เครื่อง
* จำนวนเครื่องของแต่ล่ะSubnet ยังต้องหัก Subnet ID กับ Broadcast Address ออกไปSubnetล่ะ2เลขด้วยนะครับ
(คนบ้านๆแบบเรา แค่จำความแตกต่างนี้ให้ขึ้นใจ ก็พอครับ.. เพราะนี่คือหัวใจของความแตกต่าง ในแต่ล่ะคราสครับ)

ซึ่งในแต่ล่ะคราส เพื่อความเข้าใจตรงกัน จึงมีการจัดช่วงเลขหมาย IP สำหรับเป็น Private networks เอาไว้ครับ (ตามมาตรฐานอ้างอิง RFC 1918)


เลข IP ที่เป็น Private networks ของแต่ล่ะคราสมีดังนี้
- Private networks ของ Class-C คือ ช่วง 192.168.0.0 -192.168.255.255
- Private networks ของ Class-B คือ ช่วง 172.16.0.0 - 172.31.255.255
- Private networks ของ Class-A คือ ช่วง 10.0.0.0 - 10.255.255.255

เมื่อ มาตรฐานเป็นเช่นนี้ จึงทำให้เราเตอร์ทั่วไปตามบ้าน เลยใช้เลขIPในช่วง 192.168.x.x กันนั้นเองครับ (เพราะแต่ล่ะบ้านคงไม่มีคอมมากเกิน 254 เครื่องหรอกเนอะ... และที่เป็น254เครื่อง เพราะหักเลขIPของ Subnet ID กับ Broadcast Address ออกไปสองเลข จาก 256 ไงครับ)


คราวนี้เมื่อเราต้องพิจารณา วางผังเลขหมาย IP ภายในองค์กร... เราจะต้องพิจารณาอย่างไร
ขั้นแรก : ให้พิจารณาว่า เราจะจัด IP ในองกรณ์เรา แบ่งเป็นหลาย Subnet ไหม หรือใช้Subnetเดียวร่วมกันหมดทั้งองค์กรณ์เลย

ขั้นสอง : ให้พิจารณาว่าในแต่ล่ะวงของSubnet จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์กี่เครื่อง เช่น
- ถ้าแต่ละวงมีไม่เกิน 254 เครื่อง...ก็ให้เราเลือกใช้ช่วงเลข IP ใน Class-C
- ถ้าแต่ละวงมีเกิน 254 เครื่อง เช่น 300เครื่อง 400เครื่อง...กรณีนี้ ก็ให้เราเลือกใช้ช่วงเลข IP ใน Class-B
- ถ้าเป็นกรณีทำนองต้องแจก IP จำนวนมากๆ โดยไม่อยากต้องมาคำนึงเรื่อง Lease time มากนัก...ก็ให้เราเลือกใช้ช่วงเลข IP ใน Class-A (เยอะแยก..จนแจกไม่หวันไม่ไหว)

* นอกจากนี้ อาจเป็นเรื่องความสวยงามของตัวเลข เช่น บางองค์กรอาจมีคอมไม่ถึง 300 เครื่องหรอก แต่เลือกใช้ช่วง IP Class-A เพราะชอบที่เลย 10.0.0.x มันจำง่ายดี...(อันนี้ก็ตามใจกันไปนะ)

ส่วนเรื่องในเชิง ประสิทธิภาพ ขนาดของSubnetก็มีส่วนกับการกินกำลังประมวลผลของเราเตอร์นะครับ ถ้าSubnetวงใหญ่มากๆ ก็จะเปลื่องสมองซีพียูในการแจกแจงเลขหมายมากกว่า Subnet วงเล็กๆครับ... ฉะนั้นถ้าเรามีคอมพิวเตอร์ไม่กี่เครื่อง ก็ไม่ควรเลือกขนาด Subnet ที่ใหญ่เกินตัวจนเวอร์ไปครับ... (ซึ่ง IP แต่ล่ะคราส กำหนดขนาดของ Subnet ด้วยเลข Netmask นั้นเอง)

บท ความนี้อาจยัง อ่านเข้าใจแล้วยากอยู่ แต่อย่างน้อยหวังว่าคุณผู้อ่านจะรู้ที่มาที่ไปของ IP Private networks และแนวทางการเลือกใช้เลข IP ที่เหมาะสมกับเน็ตเวิร์คของเรานะครับ

pfsense 2.0 Release FreeRadius2 Authen+MySQL Backend+loadbalance



หาข้อมูล เลยไปเจอวิธีการทำ FreeRadius2 Authen+MySQL Backend+loadbalance ลองเอาไปอ่าน และลองทำดูครับ

ที่มา http://www.tphadmin.net/index.php?topic=179.10

ไฟล์แนบ http://file2.uploadfile.biz/i/MEIMMEIIINIHDI

ชวนมาเล่น pfSense 2.1 Dev (เสถียรจนใช้งานจริงได้แล้ว)



ตอนนี้ pfSense 2.1 ยังเป็นเวอร์ชันพัฒนาอยู่ ซึ่งLive-ISOตั้งแต่หลังวันที่ 20120526 เป็นต้นมา มีเสถียรภาพที่ดีมาก สมบูรณ์ในตัวเองมากพอให้นำไปใช้งานจริงได้แล้ว (แนะนำสำหรับท่านที่ใช้ Hardware รุ่นใหม่มากๆ และมีปัญหาไดร์เวอร์ไม่เข้ากันกับ FreeBSD8.1) ซึ่ง pfSense 2.1 เป็น FreeBSD 8.3 ครับ

โหลดได้จากหน้า Snapshots ของ pfSense.org ครับ

 http://snapshots.pfsense.org/


เลือกได้ทั้ง i386(32bit) และ AMD64(64bit ใช้ได้ทั้ง Intel EM64 และ AMD)...

ท่านใดอยากลอง RouterFirewall IPv6 ก็ลุยเลย..(ผมรับประกันความมึนครับ!@#$%^..อิๆ)

แล้ว ถ้าจะให้เดาว่า เวอร์ชัน 2.1 ตัวเต็ม(Final)จะออกเมื่อไหร?... ผมเดาๆว่าคงเป็นต้นปีหน้า 2013 โน้นเลยครับ (ดูจากตอนที่เวอร์ชัน 2.0-DEV ก็ลากยาวกันข้ามปีเลย) โดยตัวของ เวอร์ชัน 2.1 เองนั้น ก็ไม่ไช่แค่เปลี่ยนbaseเป็น FreeBSD 8.3 แค่นั้น ถ้าคุณได้ลองใช้แล้ว จะได้พบกับสิ่งใหม่แปลกหูแปลกตากันเลยที่เดียว หลักๆก็คือ IPv6 กับ DHCP Server ของ IPv6 ครับ...

นอกจากนี้ก็มีแว่วๆอีกว่า pfSense ในเวอร์ชั้น 2.2 จะใช้BaseจากFreeBSD 9.0 ครับ... แต่ว่าไปแล้วเรื่องเลขรุ่นของ pfSense นั้น เราอาจเอาแน่นอนไม่ได้ครับ ไม่แน่ตอนออกตัวเต็มอาจกระโดดไป เวอร์ชั้น 3.0 เลยก็ได้ เพราะ pfSense 2.0.1 มีสัญญาณจุดเปลี่ยนของเวอร์ชั้นนี้ นั้นก็คือ IPv6 นั้นล่ะ.. (ไม่แน่นะ ต่อไป pfSense อาจมีลูกเล่น DLNA ด้วยก็ได้...แค่ขำๆนะ)

เครื่องผมมันไม่สามารถลงแพ็คเก็จเพิ่มได้ครับ มันบอกว่าไม่สามารถเชื่อมต่อไป pfsense ได้ทั้งที่เน็ตก็ใช้ได้นะครับ

มันอาจจะงง อยู่ลองหาดูแท๊ปอื่นหรือตัวหนังสือข้างล่างอะไรมั่งป่าว ของผมแต่ก่อนก็ดาวน์โหลดไม่ได้ พอลองกดมั่ว ๆ ดูก็จำได้ว่าตอนลง ลงเป็น 32 บน แล้วก็เลยเลือกเป็น 32bit แล้วก็คลิกปุ่มอินโวกดาวน์โหลดอะไรนี่แหละ แล้วมันก็ดาวน์โหลดเป็นเวอร์ชั่นสองจุดหนึ่งใช้ได้เลย

ผมได้ลองใช้แล้ว captiveportal แต่ติดตรงที่ มันไม่ขึ้นหน้า login จนกว่าเราจะไปกด save ที่หน้า config ของ captive portal

 

Pfsense Thailand Copyright © 2011-2012 | Powered by Blogger